ศาลรัฐธรรมนูญมติ 5 ต่อ 4 ขยายเวลาแพทองธาร ชี้แจงปมคลิปเสียงฮุน เซนถึง 4 ส.ค.นี้

Author:

ที่ประชุมศาลรัฐธรรมนูญ มีมติ 5 ต่อ 4 ให้นายกฯ แพทองธาร ชี้แจงปมคลิปเสียงฮุน เซน ขยายเวลาออกไปถึง 4 ส.ค. เป็นครั้งสุดท้าย หลังเจ้าตัวขอขยายเวลาออกไปอีก 15 วันเมื่อวานนี้

วันนี้ (30 ก.ค.) สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ กล่าวถึงผลการประชุม กรณีที่ประธานวุฒิสภาส่งคําร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 42 ว่า ความเป็นรัฐมนตรีของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่ (เรื่องพิจารณาที่ 18/2564) ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาคําร้องขอขยายระยะเวลายื่นคําชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา ครั้งที่ 2 ของผู้ถูกร้อง ฉบับลงวันที่ 29 ก.ค. ซึ่งขอขยายระยะเวลาออกไปอีก 15 วัน นับถัดจากวันครบกําหนดเดิม เนื่องจากอยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อใช้เรียบเรียงทําคําชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาซึ่งยังไม่ครบถ้วนสมบูรณ์

ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม จึงมีมติโดยเสียงข้างมาก (5 ต่อ 4) มีคําสั่งอนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นคําชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาออกไปจนถึงวันที่ 4 ส.ค. เป็นครั้งสุดท้าย ทั้งนี้ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 31 ส่วนตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างน้อย ได้แก่ นายปัญญา อุดชาชน นายวิรุฬห์ แสงเทียน นายจิรนิติ หะวานนท์ และนายบรรจงศักดิ์ วงศ์ปราชญ์ ไม่อนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นคําชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา

อนึ่ง กรณีผู้ถูกร้องไม่ยื่นคําชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาภายในกําหนดระยะเวลาดังกล่าว ให้ถือว่า ผู้ถูกร้องไม่ติดใจที่จะยื่นคําชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา และศาลรัฐธรรมนูญจะดําเนินกระบวนพิจารณาต่อไป ทั้งนี้ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 54 วรรคสาม

ก่อนหน้านี้ สมาชิกวุฒิสภา รวม 36 คน เข้าชื่อเสนอคําร้องต่อประธานวุฒิสภา (ผู้ร้อง) ว่า ปรากฏ คลิปเสียงการสนทนาระหว่างนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี (ผู้ถูกร้อง) กับ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภาแห่งกัมพูชา เผยแพร่ทางสื่อมวลชนเมื่อวันที่ 18 มิ.ย. ซึ่งผู้ถูกร้องแถลงข่าวยอมรับว่า เป็นเสียงการสนทนาของตนกับ ฮุน เซน จริง แม้ผู้ถูกร้องจะแถลงข่าวในเวลาต่อมาว่าเป็นการพูดคุยทางโทรศัพท์แบบส่วนตัวโดยมีเจตนาที่จะเจรจาต่อรองอย่างนุ่มนวลเพื่อรักษาไว้ซึ่งความสงบสุขและอธิปไตยของไทยก็ตาม แต่ผู้เข้าชื่อเสนอคําร้องเห็นว่า ผู้ถูกร้องแสดงออกถึงความนิ่งเฉยและไม่ปฏิบัติหน้าที่โต้ตอบหรือกําหนดมาตรการรวมถึงการเจรจาระหว่างประเทศด้วยตนเองให้เป็นที่ประจักษ์ตามหน้าที่ความรับผิดชอบที่บุคคลผู้อยู่ในสภาวะ วิสัย และพฤติการณ์แห่งความเป็นนายกรัฐมนตรีพึงกระทํา เพราะเหตุแห่งความสัมพันธ์ส่วนตัวในลักษณะเป็นฝั่งเดียวกันกับกัมพูชา พร้อมที่จะทําตามหรือจัดการตามที่ฝ่ายกัมพูชาต้องการมาโดยตลอด

ส่วนแม่ทัพภาคที่ 2 ผู้ถูกร้องเห็นว่าเป็นฝ่ายตรงกันข้าม ผู้ถูกร้องไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตาม มาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ว่า ความเป็นรัฐมนตรีของผู้ถูกร้องสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) และขอให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ไว้ก่อนจนกว่า ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคําวินิจฉัย

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *